2022/03/29 ข่าวประชาสัมพันธ์

เรือนเวลา High Complication รุ่นแรกของ Grand Seiko ที่รวมกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ (Constant force) และ ทูร์บิญอง (Tourbillon) เข้าเป็นหนึ่งบนแกนเดียวกัน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การประดิษฐ์เครื่องบอกเวลา

การเคลื่อนไหวของกลไกแบบใหม่และเสียงที่มีเอกลักษณ์ ร่วมกันสร้างจังหวะหัวใจที่ไม่เหมือนใครให้กับ Kodo

วันนี้ ก้าวใหม่ในประวัติศาสตร์ 62 ปีของ Grand Seiko (แกรนด์ ไซโก) ได้เกิดขึ้นแล้วด้วยการนำเสนอ Grand Seiko Kodo Constant-force Tourbillon (แกรนด์ ไซโก โคโดะ คอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทูร์บิญอง) เรือนเวลาจักรกลระดับซับซ้อนรุ่นแรกของ Grand Seiko หัวใจของเรือนเวลารุ่นนี้ คือ นวัตกรรมเครื่องจักรกลรูปแบบเฉพาะตัวที่มอบความเที่ยงตรงด้วยเสถียรภาพระดับสูงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเรือนเวลา Grand Seiko โดยเป็นการรวมกลไกทูร์บิญองและกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ เข้าเป็นหนึ่งบนแกนเดียวกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การประดิษฐ์เครื่องบอกเวลา

เรือนเวลารุ่นนี้ถูกให้ชื่อว่า Kodo (โคโดะ) ซึ่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงการเต้นของหัวใจ ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของการเคลื่อนไหวและเสียงการทำงานของกลไกที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เรือนเวลาระดับปฏิวัติวงการรุ่นนี้จึงแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาทั้งทางเสียงและภาพ ด้วยดีไซน์แบบโอเพน-เวิร์ก และฝาหลังกรุกระจกแซพไฟร์ ที่เผยให้เห็นความงดงามของกลไกอย่างชัดเจน

สิ่งโดดเด่นที่สุดของเรือนเวลารุ่นนี้ก็คือ การรวมกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ซึ่งมอบแรงขับเคลื่อนอย่างคงที่ และกลไกทูร์บิญอง ซึ่งมอบความเที่ยงตรงในระดับสูงสุด เข้าไว้ด้วยกัน ในดีไซน์ที่สอดคล้องควรคู่กับคุณค่าของ Grand Seiko ผู้นำอัจฉริยภาพทางเทคนิคมาแฝงอยู่ในเรือนเวลาที่งามสง่าและเหมาะกับการสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง

Grand Seiko Kodo จะถูกผลิตขึ้นแบบ Limited Edition (ลิมิเต็ด เอดิชั่น) ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 20 เรือน และจะเริ่มจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ.2022

จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

ค.ศ.2020 เป็นศักราชที่ Grand Seiko ทำการแนะนำ “T0 Constant-force Tourbillon” (ทีซีโร คอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทูร์บิญอง) เครื่องนาฬิกาแนวคิดซึ่งมาพร้อมกับกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทูร์บิญอง ที่ทาง Grand Seiko ได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว การนำรูปแบบกลไกของเครื่องนาฬิกาแนวคิดเครื่องนี้มาสู่การใช้งานในนาฬิกาที่ผลิตออกจำหน่ายจริงนั้นต้องใช้ความทุ่มเทอย่างสูงของคณะทำงานซึ่งประกอบด้วย นักออกแบบ วิศวกร ไปจนถึงช่างฝีมือที่ได้รับความไว้วางใจให้กระทำการประกอบและตกแต่งเครื่องและตัวเรือน แต่ละชิ้นของส่วนประกอบ 340 ชิ้นในคาลิเบอร์ต้นแบบถูกตรวจสอบและทบทวนอีกครั้งโดยบางชิ้นก็จำเป็นต้องออกแบบและสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับการผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในนาฬิกาที่จะออกจำหน่ายจริง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ คาลิเบอร์ 9ST1 ที่ไม่เพียงมีขนาดเล็กกว่าเครื่องแนวคิดซึ่งเป็นเครื่องต้นแบบ แต่ระบบคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ของคาลิเบอร์ 9ST1 ยังสามารถคงเสถียรภาพของความเที่ยงตรงระดับสูงไว้ได้ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้กำหนดมาตรฐานใหม่ของความเที่ยงตรงแม่นยำขึ้นมา โดยคาลิเบอร์ 9ST1 แต่ละเครื่องจะต้องได้รับการทดสอบเป็นเวลา 48 ชั่วโมงเต็มในแต่ละตำแหน่งของ 6 ตำแหน่ง ใน 3 ระดับอุณหภูมิ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเป็น 2 เท่าของมาตรฐาน Grand Seiko และมาตรฐานของอุตสาหกรรมนาฬิกา การประเมินเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของแต่ละเครื่องจะใช้เวลานานถึง 34 วัน และเมื่อผ่านการทดสอบตามมาตรฐานใหม่นี้แล้ว ประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละเครื่องไม่ว่าจะเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหรือยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐานก็จะถูกระบุไว้ในเอกสารรับรองของแต่ละคาลิเบอร์ที่มอบมาให้กับนาฬิกาแต่ละเรือนด้วย

จากจุดเริ่มต้นของโครงการจนบรรลุผลสำเร็จเป็นเรือนเวลา Kodo โดยสมบูรณ์ต้องใช้ทักษะ ความทุ่มเท และการทำงานอย่างหนัก เป็นเวลาถึง 10 ปี

นวัตกรรมแห่งความแม่นยำ ความงดงาม และเสียง

กรงคอนสแตนท์-ฟอร์ซ (ซ้าย) และกรงทูร์บิญอง (ขวา) ถูกรวมไว้บนแกนเดียวกัน

คาลิเบอร์ 9ST1 มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและการออกแบบแต่เข้าใจได้ไม่ยาก การรวมกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ และกลไกทูร์บิญอง เข้าเป็นหนึ่งบนแกนเดียวกันเช่นนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ เพราะไม่ต้องมีจักรหรือส่วนประกอบอื่นใดระหว่าง 2 กลไกนี้ จึงไม่มีการสูญเสียหรือเปลี่ยนแปลงแรงบิดที่ส่งจากกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ไปสู่จักรกลอก รูปแบบเช่นนี้ส่งผลให้กลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ สร้างแรงคงที่ได้นานขึ้นด้วยระยะเวลาถึง 50 ชั่วโมง และทำให้ระยะแกว่งตัวของจักรกลอกมีความเสถียรยิ่งขึ้น คุณลักษณะเหล่านี้ช่วยให้การทำงานของเครื่องมีความเที่ยงตรงแม่นยำอยู่เสมอ และที่สำคัญยิ่งสำหรับ Grand Seiko ก็คือ สามารถลดขนาดของตัวเครื่องให้เล็กลงได้จึงทำให้สามารถนำมาใช้กับความงดงามตามแบบฉบับของ Grand Seiko นั่นก็คือ การมอบความโดดเด่นและความสบายบนข้อมือได้อย่างสมบูรณ์แบบ

การรวมกลไกทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถจัดสรรพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

การรวมกลไกทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันทำให้เกิดภาพอันน่าประทับใจ กรงทูร์บิญองที่อยู่ภายในเคลื่อนหมุนรอบตนเองอย่างราบรื่นโดยมีจักรกลอกแกว่งขยับอย่างต่อเนื่องด้วยความถี่ 8 ครั้งต่อวินาที ในขณะที่กรงคอนสแตนท์-ฟอร์ซ เคลื่อนหมุนที่จังหวะละ 1 วินาที เสียงการปล่อยจักรและแรงกระตุ้น 1 ครั้งต่อวินาทีของกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ประสานกับจังหวะของภาพที่ปรากฏได้สร้างลักษณะดุจการเต้นของหัวใจที่น่าประทับใจยิ่งสู่สายตาและโสตสัมผัส เสียงเสน่ห์ที่ทรงพลังแต่อ่อนโยนนี้ถูกปรับตั้งให้เป็นเสียงโน้ตตัวที่ 16 หรือ เซมิ-ควอฟเวอร์ ซึ่งสามารถทำได้เพราะ 9ST1 เป็นเครื่องที่มีความถี่การทำงานสูงที่สุด* ในบรรดาเครื่องนาฬิกาที่มีกลไกคอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทั้งหมด เท่าที่เคยถูกสร้างขึ้นมา
*ข้อมูล ณ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2022 จากการค้นคว้าของ Grand Seiko

ขณะที่เรือนเวลาอันแสนโดดเด่นรุ่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่สำหรับวิถีการประดิษฐ์เรือนเวลาของ Grand Seiko คุณสมบัติแห่งเรือนเวลาที่ใช้งานได้จริงซึ่งเป็นชื่อเสียงอันเลื่องลือของ Grand Seiko ก็ยังคงปรากฏอย่างเต็มที่ในทุกรายละเอียด กรงคอนสแตนท์-ฟอร์ซ มีชิ้นทับทิมติดตั้งอยู่ที่แขนข้างหนึ่งเพื่อทำหน้าที่เป็นเข็มวินาทีขนาดเล็ก ทั้งยังมีฟังก์ชั่นหยุดการทำงานของเครื่องโดยจะหยุดการทำงานของกรงทูร์บิญองเมื่อเม็ดมะยมถูกดึงขึ้นมาเพื่อให้กระทำการปรับตั้งเวลาได้อย่างแม่นยำจนถึงระดับวินาที ส่วนเข็มชั่วโมงก็มีการเจียรเหลี่ยมมุมเสริมความชัดเจนที่ส่วนปลายเพื่อให้อ่านค่าได้ชัดเจน นอกจากนี้ Kodo ยังสามารถกันน้ำได้ถึงระดับ 10 บาร์อีกด้วย

แสง เงา และพื้นที่

ฝาหลังชนิดกรุกระจกแซพไฟร์คริสตัลเผยให้เห็นความงดงามของงานตกแต่งเครื่องและโครงสร้างที่ซับซ้อน

ด้วยการรวม 2 ชนิดกลไกเข้าไว้ด้วยกันทำให้คาลิเบอร์ 9ST1 มีที่ว่างภายในตัวเรือนและมีพื้นที่เพียงพอให้แสงทะลุผ่านทั้งจากฝั่งด้านหน้าและด้านหลังของตัวเรือนเพื่อเผยให้เห็นความงดงามของงานตกแต่งที่กระทำด้วยมือ ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนของแสงและเงาซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งสุนทรียศาสตร์อันงดงามของ Grand Seiko จึงสามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ผ่านการไล่เฉดสี เหลี่ยมมุม และพื้นผิว ส่วนประกอบหลักแต่ละชิ้นถูกตกแต่งด้วยมืออย่างประณีตด้วยเทคนิคที่หลากหลายเพื่อให้ตัวเครื่องในภาพรวมมีความสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยประกายอันงดงามซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ Grand Seiko

ตัวเรือนถูกสร้างขึ้นจาก แพลทินัม 950 และบริลเลียนท์ ฮาร์ด ไทเทเนียม (ไทเทเนียมเคลือบแข็งเกรดพิเศษของ Grand Seiko ) เพื่อให้ได้มาซึ่งความงามที่คงทน พื้นที่ต่าง ๆ บนตัวเรือนซึ่งสร้างขึ้นจากวัสดุทั้ง 2 ชนิดได้รับการขัดเงาด้วยเทคนิคซารัตสึ สลับกับการปัดลายเส้นละเอียดแบบแฮร์ไลน์ โดยทั้ง 2 กระบวนการถูกกระทำด้วยมือของช่างฝีมือทักษะสูงเพื่อให้เกิดความงดงามกลมกลืนในทุกมุมมอง จุดบรรจบของวัสดุตัวเรือนทั้ง 2 ชนิดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ส่วนปลายของขาตัวเรือนอันเป็นตำแหน่งบรรจบของช่องว่างขนาดเล็กระหว่างแนวขาของวัสดุทั้งสองซึ่งช่วยเพิ่มความเบาและมอบรูปลักษณ์แบบเฉพาะตัวให้กับดีไซน์ในภาพรวม

ความเชี่ยวชาญในการขัดเงาด้วยมือของ Grand Seiko เป็นที่ประจักษ์จากความกลมกลืนโดยสมบูรณ์
ของพื้นผิวแพลทินัม 950 และบริลเลียนท์ ฮาร์ด ไทเทเนียม

เรือนเวลารุ่นนี้มาพร้อมกับสายหนังลูกวัวที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีเก่าแก่เช่นเดียวกับที่เคยใช้สร้างวัสดุความทนทานสูงซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้ในชุดเกราะของซามูไร พื้นผิวของสายถูกทาแลคเกอร์อุรุชิด้วยมือด้วยกระบวนการเคลือบหลายชั้นเพื่อสร้างความเงางามให้กับสาย ทั้งยังมอบสายหนังจระเข้มาให้อีกเส้นหนึ่งด้วย

สตูดิโอแห่งใหม่ใจกลางย่าน กินซ่า

เรือนเวลารุ่นนี้ได้รับการออกแบบโดยกลุ่มนักประดิษฐ์นาฬิกาและนักออกแบบชั้นนำของ Grand Seiko ผู้ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสตูดิโอแห่งใหม่ อาเตอลิเยร์ กินซ่า ซึ่งตั้งอยู่ในย่านกินซ่าของกรุงโตเกียว ที่ซึ่ง คินทาโร ฮัตโตริ เริ่มต้นธุรกิจของเขาใน ค.ศ.1881 เป้าประสงค์ของสตูดิโอแห่งนี้ก็คือ เพื่อสร้างนาฬิกาที่มีลักษณะเฉพาะตัวซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ คินทาโร ว่าบริษัทของเขาควรมุ่งมั่นในการสร้างเรือนเวลาที่ดีที่สุดในโลกอยู่เสมอ

การสร้างสรรค์ Grand Seiko Kodo และการก่อตั้ง อาเตอลิเยร์ กินซ่า คือ การประกาศอย่างกึกก้องว่า Grand Seiko ได้สร้างเวทีแห่งใหม่ที่จะใช้สร้างอนาคตของตนขึ้นมาแล้ว

SLGT003

Grand Seiko Kodo Constant-force Tourbillon: SLGT003

คาลิเบอร์ 9ST1
ระบบขับเคลื่อน: ไขลาน
ความถี่การทำงาน: 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง (8 บีทต่อวินาที)
ความเที่ยงตรง: +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน (เมื่ออยู่กับที่ในเวลา 48 ชั่วโมง)
พลังงานสำรอง: 72 ชั่วโมง
จำนวนทับทิม: 44
คอนสแตนท์-ฟอร์ซ ทูร์บิญอง
(แรงคงที่: 50 ชั่วโมง)
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง: 35.0 มิลลิเมตร, ความหนา: 7.98 มิลลิเมตร

รายละเอียดทางเทคนิค
ตัวเรือนแพลทินัม 950 และบริลเลียนท์ ฮาร์ด ไทเทเนียม
กระจกหน้าปัดแซพไฟร์คริสตัลทรงกล่อง เคลือบสารกันการเกิดแสงสะท้อน
ฝาหลังกรุกระจกใส
การกันน้ำ: 10 บาร์
การต้านทานแม่เหล็ก: 4,800 แอมแปร์/เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลาง: 43.8 มิลลิเมตร, ความหนา: 12.9 มิลลิเมตร
สายหนังลูกวัวพร้อมตัวล็อกแพลทินัม 950 แบบ 3 ทบปลดล็อกด้วยปุ่มกด
พร้อมสายหนังจระเข้แบบ 2 ด้านอีก 1 เส้น
ราคาขายปลีกแนะนำโดยประมาณสำหรับไทย: 14,560,000 บาท
ผลิตจำนวนจำกัด 20 เรือน