2020/03/04 ข่าวประชาสัมพันธ์

ฉลอง 60 ปีของ Grand Seiko อย่างโดดเด่นด้วยการนำนาฬิการุ่นดั้งเดิมปี 1960 ผลิตใหม่อีกครั้ง

2020 ถือเป็นปีที่พิเศษสำหรับ Grand Seiko เพราะนี่คือปีที่ 60 ที่พวกเราก่อกำเนิดขึ้นมา ซึ่งนั่นคือการย้อนกลับไปในวันที่ 18 ธันวาคม 1960 แน่นอนว่าในตอนนั้น ทีมที่รับผิดชอบการทำงานของ Seiko ที่ศูนย์ Suwa ตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น ได้ทำงานอย่างเต็มที่และต่อเนื่องในการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่จะสามารถตอบสนองได้ทั้งความเที่ยงตรง ความทนทาน ความสะดวกสบาย และความสวยงามเท่าที่มนุษย์จะสามารถสร้างสรรค์ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ และในวันนั้นเอง ผลของความพยายามของพวกเขาก็ถูกเปิดเผยออกมา นั่นคือ นาฬิกาที่มากับตัวเรือนผลิตจากทอง 14k มาพร้อมกลไกที่มีความบางเฉียบ แต่ความเที่ยงตรงชั้นเยี่ยมในระดับที่เทียบเท่ากับมาตรฐานความเที่ยงตรงสูงสุดที่นานาชาติให้การยอมรับ นี่คือความสำเร็จครั้งใหม่ของพวกเขาและมีการตัดสินใจที่จะเรียกนาฬิกาเรือนนั้นว่า Grand Seiko ในปัจจุบัน กับปีที่พิเศษเช่นนี้ การนำนาฬิกาเรือนแรกของ Grand Seiko จากยุค 1960 กลับมาทำใหม่อีกครั้งถือเป็นการช่วยเติมเต็มให้กับคอลเล็กชั่นของ Seiko มีความสมบูรณ์แบบ และถูกประจำการอย่างถาวรในคอลเล็กชั่นที่ Grand Seiko ทำตลาด

ความบาง ความเที่ยงตรง และการยึดมั่นกับมรดกที่สืบทอดต่อกันมา

ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นาฬิการุ่นใหม่นี้มี และทาง Grand Seiko จะมีการผลิตออกสู่ตลาดทั้งหมด 3 รุ่นโดยทั้งหมดจะมาพร้อมกับตัวเรือนที่มีความบางเหมือนกัน และมีความเที่ยงตรงที่สามารถสัมผัสได้ด้วยการใช้กลไกไขลานในรหัส 9S64 รูปทรงของตัวเรือนและหน้าปัดที่มีความโค้งมนอ่อนช้อย และชุดเข็มได้รับการสร้างสรรค์โดยยึดมั่นจากรูปแบบที่มีอยู่ในรุ่นดั้งเดิมปี 1960 อย่างครบถ้วน แต่ฝาหลังสำหรับรุ่นใหม่จะเป็นแบบใสและใช้กระจก Sapphire เพื่อเปิดเผยให้สามารถสัมผัสและชื่นชมความงามของกลไกที่ได้รับการตกแต่งมาอย่างพิถีพิถัน และเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดที่หันมาเน้นนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้น ในรุ่นนี้จะมีการขยายขนาดจาก 35 มาเป็น 38 มิลลิเมตร พร้อมกับบานพับสายแบบ 3 ทบซึ่งช่วยให้การสวมใส่นาฬิกาง่ายขึ้น

มีการนำวัสดุ 3 แบบมาใช้ในการผลิตตัวเรือน โดยจะมีทั้งรุ่นแพลทินัม ซึ่งใช้แพลทินัม 950 ในการผลิต และดวงดาวที่ประดับบนหน้าปัดพร้อมกับหลักชั่วโมงจะได้รับการผลิตจากทอง 18k ตัวอักษร Grand Seiko ที่ถูกวางอยู่บนหน้าปัดมีความสวยเด่นขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้เป็นผลมาจากหน้าปัดด้วยเช่นกันเพราะผลิตจากทอง 18k สำหรับรุ่นที่ 2 ตัวเรือนและหลักชั่วโมงบนหน้าปัดผลิตจากทองสีเหลือง 18k ส่วนรุ่นที่ 3 ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมแบบแข็งที่มีความเงาวาว หรือ Brilliant Hard Titanium ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษสำหรับ Grand Seiko เท่านั้น โดยความเบานั้นเทียบเท่ากับไทเทเนียมบริสุทธิ์ แต่ทว่ามีความแข็งกว่า Stainless Steel 2 เท่า และมีความทนทานต่อการขูดขีด สำหรับสีของวัสดุจะมีความแวววาวและสว่างกว่าไทเทเนียมทั่วไปที่ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุในการผลิตตัวเรือนนาฬิกา Grand Seiko สีสันบนตัวเรือนจะสว่างกว่าไทเทเนียมแบบอื่นที่ถูกใช้อยู่ในนาฬิกาของ Grand Seiko เมื่อบวกกับกรรมวิธีการขัดที่เป็นเอกลักษณ์ของ Seiko อย่าง Zaratus แล้วจะทำให้พื้นผิวของตัวเรือนมีความสวยและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

เข็มชั่วโมงและนาทีถูกออกแบบให้ค่อยๆ โค้งไปตามแนวโค้งของกระจก Sapphire แบบ Dual-Curved
ฝาหลังแบบโปร่งใสด้วยกระจก Sapphire เพื่อเปิดเผยความงดงามของการขัดแต่งของกลไก

ทั้ง 3 รุ่นมีความเด่นอยู่ที่ตัวเรือนที่บาง ประสิทธิภาพในการทำงานของกลไก และความเที่ยงตรง ตัวเรือนมีความหนาเพียง 10.9 มิลลิเมตร และมีกำลังสำรอง 72 ชั่วโมง ส่วนความเที่ยงตรงอยู่ที่ +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน โดยทั้ง 3 รุ่นจะมากับสายหนังจระเข้

นาฬิกาทั้ง 3 รุ่นจะจำหน่ายผ่านทางบูติกของ Grand Seiko ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 เป็นต้นไป
นาฬิกาที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงพื้นฐานนาฬิกาเรือนแรกของ Grand Seiko

SBGW257
SBGW258
SBGW259

Re-creations of the first Grand Seiko
คาลิเบอร์ 9S64
ระบบขับเคลื่อน: ไขลาน
ความถี่: 28,880 ครั้งต่อชั่วโมง (8 ครั้งต่อนาที)
ความเที่ยงตรง: +5 ถึง -3 วินาทีต่อวัน (เมื่อวางนิ่งๆ อยู่กับที่)
พลังงานสำรอง : 72 ชั่วโมง
จำนวนทับทิม : 24 เม็ด

ข้อมูลทางเทคนิค
ตัวเรือนและบานพับผลิตจากแพลทินัม 950 (SBGW257) ตัวเรือนและบานพับผลิตจากทองคำ 18k ตัวเรือนและบานพับผลิตจากไทเทเนียมแบบแข็ง (SBGW259)
สายหนังจระเข้พร้อมกับบานพับแบบ 3 ทบและปุ่มกดคลายล็อค
กระจกแซฟไฟร์แบบความละเอียดสูงและเคลือบสารกันการสะท้อนแสง
ฝาหลังแบบใสและขันเกลียว
ความสามารถกันน้ำ : 3 บาร์
การกันสนามแม่เหล็ก : 4,800 แอมแปร์ต่อเมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือน 38.0 มิลลิเมตร
ความหนา : 10.9 มิลลิเมตร
ราคาจำหน่ายในยุโรปโดยประมาณ: 39,000 ยูโร