ความเป็นมา

ความรุ่งเรืองในอดีตที่ส่งผ่านสู่ความก้าวหน้าในอนาคต

ความมุ่งมั่นที่สู่ความเลิศเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด Grand Seiko ขึ้นมาในปีค.ศ. 1960 และนับจากนั้นเป็นต้นมา ในทุกการพัฒนาวิศวกรของเราจะถูกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดในการสร้างสรรค์ให้ Grand Seiko เป็นนาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ ที่ได้มาตรฐานด้านความเที่ยงตรง ความทนทาน และความสง่างามระดับโลก

เรื่องที่

1
เส้นทางในการพัฒนา

การเปิดตัว Grand Seiko ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1960

แนวคิดที่เป็นจุดตั้งต้นในการก่อกำเนิด Grand Seiko นั้นเป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่การที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องขึ้นจริงกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย แนวคิดที่ว่าก็คือการสร้างสรรค์นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรง ทนทาน ง่ายต่อการสวมใส่ และมีความงดงามมากที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสร้างได้ ขณะที่นาฬิการุ่น Crown และนาฬิกานจักรกลรุ่นอื่น ๆ ของ Seiko ในยุค 1950 มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทีมงานที่รวมตัวกันเพื่อสร้าง Grand Seiko ซึ่งตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงทุ่มเททั้งเวลาและทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้การทำงานของพวกเขาก้าวต่อไปได้ไกลยิ่งขึ้น

Grand Seiko รุ่นแรกถือเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญ โดย Caliber 3180 รุ่นใหม่มีความเที่ยงตรงอยู่ที่ +12 ถึง -3 วินาทีต่อวัน และสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 45 ชั่วโมง อีกทั้งยังเป็นนาฬิการุ่นแรกจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับการจัดอันดับความเป็นเลิศตามมาตรฐานของ Bureaux Officiels de Contrôle de la Marche des Montres

Grand Seiko Self-Dater ค.ศ. 1964

ในปี ค.ศ. 1960 ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ Grand Seiko แต่ทีมนักออกแบบยังต้องการขยายขอบเขตแห่งนิยามของพวกเขาให้ไปไกลกว่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการสร้างนาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ และแค่ 4 ปีนับจากการสร้าง Grand Seiko รุ่นแรก มีการเปิดตัว Grand Seiko Self-Dater ออกสู่ตลาด โดดเด่นกับการเป็นนาฬิกาที่เน้นการใช้งานด้วยมีฟังก์ชันแสดงวันที่ และปรับปรุงการกันน้ำได้สูงสุดถึง 50 เมตร อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ที่สวยงามไม่ว่าจะสวมใส่ในเวลาทำงาน หรือในเวลาที่ออกไปงานเลี้ยงในยามค่ำคืน

เรื่องที่ 2

1960

นาฬิกาจักรกล

Grand Seiko รุ่นแรก

Grand Seiko ได้ถือกำเนิดขึ้น นาฬิการุ่นแรกของ Grand Seiko ถูกผลิตขึ้นที่ Suwa Seikosha (ปัจจุบันคือ Seiko Epson) ในจังหวัดนะงะโนะที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น

1964

นาฬิกาจักรกล

Grand Seiko Self-Dater

นาฬิการุ่นที่ 2 ถูกเปิดตัวออกสู่ตลาด พร้อมฟังก์ชั่นแสดงวันที่ และการกันน้ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 50 เมตร

เรื่องที่

2
ยุค 1960 ทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง

การวางรากฐานปรัชญาการออกแบบของ Grand Seiko

รุ่น 44GS ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1967 ถือว่ามีความเที่ยงตรงสูงสุดในบรรดานาฬิกาไขลานที่เดินด้วยความถี่ 5 ครั้ง/วินาทีที่มีอยู่ในโลก Grand Seiko ใช้เวลาไม่กี่ปีเท่านั้นในการเดินหน้าสู่เป้าหมายได้อย่างยอดเยี่ยม การออกแบบของ 44GS รวมถึงอีกหลายสิ่งที่อยู่ในนาฬิการุ่นนี้ได้ถูกส่งผ่านมาถึงนาฬิการุ่นใหม่ๆ ของ Grand Seiko ในปัจจุบัน

44GS มีรูปลักษณ์ที่ Grand Seiko ยังคงใช้มาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือแนวคิดที่มีความซับซ้อนของแนวคิดการออกแบบที่มาพร้อมกับข้อกำหนดในเรื่องสัดส่วน พื้นผิว เหลี่ยมมุม และเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ทั้งหมดถูกตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานสามข้อและองค์ประกอบไม่ต่ำกว่า 9 ข้อที่ต้องทำให้บรรลุผลให้ได้ ไม่มีนาฬิกาเรือนอื่นใดที่มีอิทธิพลต่อคุณลักษณะของ Grand Seiko ได้ถึงขนาดนี้ และรุ่นใหม่ๆ ของ Grand Seiko ที่เปิดตัวในเวลาต่อมาก็มีความยอดเยี่ยมซึ่งก็เพราะมีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ที่งดงามเช่นเดียวกับ 44GS และทุกรุ่นสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด Grand Seiko Style
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบ GRAND SEIKO

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของนาฬิกาจักรกลจาก Grand Seiko

ตลอดช่วงทศวรรษนั้น คอลเล็กชั่นของ Grand Seiko ได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้นและมีกลไกรุ่นใหม่ถูกเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1967 Grand Seiko ได้เปิดตัว 62GS ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ใช้กลไกอัตโนมัติรุ่นแรก ตามด้วย 61GS กลแบบอัตโนมัติ 10 ครั้ง/วินาทีกับ 45GS กลไกไขลาน10 ครั้ง/วินาที ในปี ค.ศ. 1968

เมื่อถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการของกลุ่มลูกค้าและการนำเสนอด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ความเที่ยงตรงของนาฬิกาจึงกลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกหลงใหลจนกลายเป็นการแข่งขันกันเพื่อผลิตกลไกที่มีความเที่ยงตรงในระดับสูง

หลังเป็นผู้ชนะในการพัฒนากลไกที่มีความเที่ยงระดับสูงจนเหนือระดับจากคู่แข่งในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ทีมของ Grand Seiko จึงมองหาความท้าทายใหม่ๆ ในต่างประเทศ และในปี ค.ศ. 1964 ทางกลุ่มที่ดูแลในด้านมาตรฐานความเที่ยงตรงของกลไกจากสวิตเซอร์แลนด์ได้ยอมรับความยอดเยี่ยมของ Grand Seiko ในปีต่อมาให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันด้านความเที่ยงตรง ซึ่งอันดับของ Grand Seiko ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใน ‘งานประกวด’ ที่นิวชาเทลและเจนีวา ในปี ค.ศ. 1968 กลไกของเราได้รับชนะเลิศคะแนนรวมในฐานะนาฬิกาจักรกลที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขันที่เจนีวา และทำให้โลกได้รู้จักกับชื่อของ Grand Seiko ที่มีความโดดเด่นท่ามกลางกลไกที่ยอดเยี่ยมรุ่นอื่นๆ ของโลก

ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ต้องขอบคุณทักษะการประกอบนาฬิกาที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง นวัตกรรมโลหะผสมและชิ้นส่วนใหม่ๆ รวมถึงความหลงใหลในการสร้างนาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ ทีมของ Seiko และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของ Grand Seiko ที่เข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานสากลในการสร้างนาฬิกาจักรกล ต้องขอบคุณ Spron โลหะผสมที่มีความโดดเด่น รวมถึงลานนาฬิกาที่มีแรงบิดและความทนทานในการทำงานจนทำให้การเดินด้วยความถี่ 10 ครั้งต่อวินาทีของจักรกรอกกลายเป็นสิ่งที่ทำได้จริง ซึ่งตรงนี้เป็นการเพิ่มความแม่นยำให้กับนาฬิกาอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายในการผลิตนาฬิกาความถี่สูงที่สามารถใช้งานได้ นอกจากนั้นการปรับแต่งพิเศษในส่วนต่างๆ ยังช่วยยกระดับและกำหนดมาตรฐานใหม่ในด้านความเที่ยงตรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยสามารถลดความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งการวางของนาฬิกา และอิทธิพลภายนอกอื่นๆ ที่เข้ามามีผลในส่วนนี้

ความเที่ยงตรงที่เกิดขึ้นถือว่าน่าประทับใจมาก อยู่ในระดับ ±2 วินาทีต่อวัน หรือ ±1 นาทีต่อเดือน การบรรลุเป้าหมายด้านความเที่ยงตรงภายใต้ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นรอบด้านในสมัยนั้น ทำให้ทีมของ Grand Seiko ตั้งชื่อให้นาฬิการุ่นที่มีความเที่ยงตรงสูงที่สุดของตัวเองว่า “Grand Seiko Very Fine Adjusted” ซึ่งก็คือ นาฬิการุ่น 61GS V.F.A. และรุ่น 45GS V.F.A ที่ได้กลายเป็นตำนานของพวกเรา

เรื่องที่ 3

1967

นาฬิกาจักรกล

44GS

Daini Seikosha (ปัจจุบันคือ Seiko Instruments) ผลิตนาฬิกา Grand Seiko เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นนาฬิการุ่นแรกที่มีแนวคิดตามหลักเกณฑ์ ‘Grand Seiko Style’ ซึ่งยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

44GS ผู้ให้กำเนิด
GRAND SEIKO STYLE

1967

นาฬิกาจักรกล

62GS

นาฬิกากลไกอัตโนมัติรุ่นแรกของ Grand Seiko เม็ดมะยมถูกย่อส่วนและติดตั้งไว้ที่ตำแหน่ง 4 นาฬิกา เพื่อสื่อให้เห็นว่า นาฬิการุ่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีการไขลานอีกต่อไป

1968

นาฬิกาจักรกล

61GS

นาฬิกากลไกอัตโนมัติรุ่นแรกของ Grand Seiko ที่เดินด้วยความถี่ระดับ 10 ครั้งต่อวินาที

1968

นาฬิกาจักรกล

45GS

กลไกไขลานที่เดินด้วยความถี่ระดับ 10 ครั้งต่อวินาที แต่มีขนาดบางขึ้น เหมือนกับกลไกอัตโนมัติในรุ่น 61GS คือ การให้ความเที่ยงตรงในระดับที่สูงขึ้น และมีความทนทานและสม่ำเสมอในการทำงานในหลากหลายรูปแบบการใช้งาน ฟังก์ชั่นวันที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วเมื่อเข้าวู่วันใหม่

1968

นาฬิกาจักรกล

19GS

นาฬิกาสำหรับสุภาพสตรีรุ่นแรกของ Grand Seiko ที่ใช้กลไกซึ่งเดินด้วยความถี่ระดับ 10 ครั้งต่อวินาทีและมีความเที่ยงตรงสูง

1969

นาฬิกาจักรกล

61GS V.F.A.

นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงระดับสูงรุ่นนี้สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านความเที่ยงตรงของนาฬิกาจักรกลได้เป็นอย่างดี โดยมีอัตราความเที่ยงตรงอยู่ที่ ±1 นาทีต่อเดือน

1969

นาฬิกาจักรกล

45GS V.F.A.

นาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงระดับสูงรุ่นนี้สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านความเที่ยงตรงของนาฬิกาจักรกลได้เป็นอย่างดี โดยมีอัตราความเที่ยงตรงอยู่ที่ ±1 นาทีต่อเดือน

1970

นาฬิกาจักรกล

56GS

หลังจากการปรับปรุงเรื่องความเที่ยงตรงแล้ว เป้าหมายต่อไปที่ท้าทายสำหรับ Grand Seiko คือ การลดขนาดลงโดยกลไกของรุ่นนี้มีการขึ้นลานแบบอัตโนมัติ และมีความสูงอยู่ที่ 4.5 มม. แต่คงความเที่ยงตรงในระดับสูงเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ความบางไม่ใช่เป็นแค่ความท้าทายของวิศวกรเท่านั้น
“การสวมใส่ได้ง่าย” คือส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องนาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ และนาฬิการุ่นนี้ที่มีความบางขึ้นจึงสามารถสวมใส่อยู่บนข้อมือได้อย่างสะดวกและง่ายดาย

1970

นาฬิกาจักรกล

61GS Special

Grand Seiko Special มีเป้าหมายในการยกระดับมาตรฐานความเที่ยงตรงให้สูงขึ้น ซึ่งเทียบเท่ากับมาตรฐานความเที่ยงตรงของ GS

1972

นาฬิกาจักรกล

19GS V.F.A.

นาฬิการุ่นนี้มีเป้าหมายในการส่งมอบความเที่ยงตรงที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับนาฬิกาจักรกลสำหรับสุภาพสตรี โดยมีอัตราความเที่ยงตรงที่ ±2 นาทีต่อเดือน

เรื่องที่

3
การพัฒนากลไกควอตซ์ของ Grand Seiko

นาฬิกากลไกควอตซ์รุ่นแรกของ Grand Seiko

ในปี ค.ศ. 1988 95GS นาฬิการะบบควอตซ์รุ่นแรกของ Grand Seiko ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่านาฬิการะบบควอตซ์ทั่วไป มีความเที่ยงตรงอยู่ที่ ±10 วินาทีต่อปี ความลับตลอดกาลของ Grand Seiko ก็คือความสามารถในการผลิตทุกชิ้นส่วนภายในโรงงานของเราเอง การใช้ผลึกควอตซ์ที่เติบโตตามธรรมชาติภายในโรงงานทำให้ทีมของ Grand Seiko สามารถเลือกเฉพาะแท่งควอตซ์ที่แสดงประสิทธิภาพในทำงานโดยที่ทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงของ อุณหภูมิ ความชื้น และแรงกระแทก เพื่อให้ตัวกลไกสามารถทำงานได้ในระดับที่มีครวามเที่ยงตรงสูงสุด

เรื่องที่ 4

1988

นาฬิกาควอตซ์

95GS

นาฬิกากลไกควอตซ์รุ่นแรกของ Grand Seiko มีความเที่ยงตรงที่ 10 วินาทีต่อปี ซึ่งสูงกว่ากลไกควอต์รุ่นอื่นๆ หลายเท่า

1989

นาฬิกาควอตซ์

8NGS

นาฬิกาควอตซ์รุ่นแรกของ Grand Seiko พร้อมการกันน้ำที่ระดับ 10 บาร์

1992

นาฬิกาควอตซ์

3FGS

นาฬิกาควอตซ์สำหรับสุภาพสตรีรุ่นแรกของ Grand Seiko ก็มีความเที่ยงตรงที่ 10 วินาทีต่อปีเช่นกัน

เรื่องที่

4
การแสวงหานาฬิกาควอตซ์ในอุดมคติ

Grand Seiko สร้างนาฬิกาควอตซ์ที่เหนือชั้น

แม้ว่านาฬิกาควอตซ์รุ่นแรกของ Grand Seiko จะมีความพิเศษอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดความกระตือรือร้นของทีม Grand
Seiko ในการพัฒนาอะไรใหม่ๆ เพื่อสร้างนาฬิการะบบควอตซ์ ‘ในอุดมคติ’ ได้ ในปี ค.ศ. 1993 หรือ 5 ปีหลังจากการเปิดตัวนาฬิกาควอตซ์รุ่นแรกของ Grand Seiko เราก็ได้รู้จักกับนาฬิกาที่ใช้กลไก 9F83 ซึ่งประกอบไปด้วยนวัตกรรมหลัก 4 อย่าง คือ ปรับการกระตุกโดยอัตโนมัติ ระบบการควบคุมแบบสองจังหวะ กลไกการเปลี่ยนวันที่แบบทันที และฝาหลังตัวเรือนแบบปิดทึบ ซึ่งเป็นการรวบรวมสิ่งที่ Grand Seiko พิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่สำคัญของนาฬิกาข้อมือไว้ด้วยกัน นั่นคือความแม่นยำ ความงดงาม ความสามารถในการอ่านเวลา ความทนทาน และการใช้งานง่าย Grand Seiko ไม่ลดละความพยายามในรายละเอียดต่าง ๆ จึงสามารถทำให้แบรนด์ของเราอยู่ในจุดสูงสุดของการผลิตนาฬิกาควอตซ์ได้
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับควอตซ์ 9F

การพัฒนายังมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1997 Seiko ได้เปิดตัวซีรีส์ 9F6 ที่มีดีไซน์ตัวเรือนที่เหนือกว่า และทำให้นาฬิกาควอตซ์ของ Grand Seiko เป็นนาฬิกาที่สวมใส่ได้ง่ายขึ้น

การสร้างสรรค์นาฬิกาควอตซ์รุ่นใหม่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 มาพร้อมความสามารถในการทนทานสนามแม่เหล็กได้อย่างน่าทึ่งถึง 40,000 A/m โดยเป็นผลมาจากการออกแบบภายนอกที่ผ่านการพัฒนาขั้นสูง รวมทั้งเทคนิคการประกอบตัวเรือน จนทำให้นาฬิกามีความเที่ยงตรงที่ระดับ ±10 วินาทีต่อปี และไม่ส่งผลต่อความเที่ยงตรงในการทำงานของกลไกใดๆ แม้ว่าจะวางอยู่ใกล้กับคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ

เรื่องที่ 5

1993

นาฬิกาควอตซ์

ซีรีส์ 9F8

‘ระบบควอตซ์ที่เป็นมากกว่าระบบควอตซ์’ ถือเป็นการก้าวข้ามข้อจำกัดอีกครั้ง เมื่อนาฬิกาควอตซ์รุ่นนี้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านความเที่ยงตรงและความทนทานด้วยนวัตกรรมทั้งสี่อย่าง ได้แก่ กลไกปรับการกระตุกโดยอัตโนมัติที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับนาฬิกาควอตซ์แบบดั้งเดิมมาก่อน กลไกระบบควอตซ์แบบสองจังหวะ กลไกการเปลี่ยนวันที่แบบทันที และฝาหลังตัวเรือนแบบปิดทึบ

1997

นาฬิกาควอตซ์

ซีรีส์ 9F6

ความพิถีพิถันของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญของ Seiko
ส่งผลให้ได้พื้นผิวด้านข้างของตัวเรือนได้รับการขัดแต่งให้มีความแวววาวราวกับกระจกและเสมอเรียบ
ไม่มีสภาพการบิดเบี้ยวเมื่อมีการส่องกระทบ

เรื่องที่

5
ยุคใหม่ของนาฬิกาจักรกล

การกำหนดมาตรฐานใหม่

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 เป็นเวลาที่เหมาะสมแก่นาฬิกาจักรกลยุคใหม่ของ Grand Seiko เทคโนโลยีการประกอบนาฬิกาของบริษัทเราได้ก้าวหน้าไปมาก รสนิยมของตลาดมีการเปลี่ยนแปลง และเวลาได้ล่วงผ่านไป

ในตอนแรก เราคิดว่าการปรับปรุงง่ายๆ ให้กับกลไกแบบจักรกลที่มีอยู่คงเพียงพอแล้ว แต่เป้าหมายของนาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ ได้ผลักดันให้ทีมของ Grand Seiko ก้าวต่อไปข้างหน้า นักออกแบบกลไกได้นำแผนดั้งเดิมมาปัดฝุ่นใหม่เพื่อนำไปสู่การออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความท้าทายใหม่ๆ ในทุกแง่มุมของศาสตร์แห่งศิลป์ในการประกอบนาฬิกาแบบดั้งเดิม และในปี ค.ศ. 1996 กลไกรหัส 9S จึงเกิดขึ้นและพร้อมเข้ารับการทดสอบ

กลไกรหัส 9S

ในปี ค.ศ. 1990 Grand Seiko ได้ส่งกลไกของตนไปทดสอบความเที่ยงตรงที่ Contrôle Officiel Suisse des Chronomètres (COSC) ซึ่งเป็นสถาบันทดสอบความเที่ยงตรงอย่างเป็นทางการของสวิตเซอร์แลนด์ สามในสี่ของผลงานต้นแบบชุดแรกสามารถผ่านการทดสอบ และไม่นานหลังจากนั้นจึงได้มีการส่งกลไกที่ถูกผลิตขึ้นมาจำนวน 50 ชุดไปยัง COSC และทุกชุดผ่านการทดสอบตามมาตรฐานของสถาบัน

นี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งหนึ่ง แต่คำถามที่ตามมาคือ จะเป็นความสำเร็จที่ตรงตามมาตรฐานที่ทีมของ Grand Seiko ตั้งไว้หรือเปล่า? ดังนั้น ทีมจึงตัดสินใจกำหนดมาตรฐานใหม่ของ GS ขึ้นมาเองและจะต้องมีระดับที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น ดังนั้น เพื่อให้ได้ตรงตามมาตรฐานนี้ จำเป็นต้องมีการทดสอบอย่างเข้มข้น ทดสอบการวางนาฬิกาในตำแหน่งต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นจากปกติ วางในระยะเวลาที่นานขึ้น และท่ามกลางอุณหภูมิที่หลากหลายกว่า นี่คือมาตรฐานระดับสุดยอดที่นาฬิกาจักรกลทุกเรือนของ Grand Seiko รวมถึงรุ่นที่ขายในปัจจุบัน จะต้องผ่านให้ได้

ความเที่ยงตรงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิยามในการเป็นนาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ โดยอีกสิ่งหนึ่งคือจะต้องสามารถสำรองพลังงานได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่นาฬิกาส่วนใหญ่สามารถสำรองพลังงานได้นาน 40 ชั่วโมง แต่ Grand Seiko ได้ตั้งมาตรฐานไว้ที่ 50 ชั่วโมง

เพื่อให้มีความเที่ยงตรงที่สูงขึ้นและสำรองพลังงานได้นานขึ้น จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมทั้งในด้านวัสดุ การออกแบบ เทคนิคการผลิต และการประกอบชิ้นส่วน มีทั้งการคิดค้นโลหะผสมแบบใหม่ เทคนิคต่างๆ ที่เคยใช้ในการผลิตอุปกรณ์กึ่งตัวนำได้ถูกนำมาประยุกต์เข้ากับการประกอบนาฬิกา โรงงานใหม่ๆ ถูกสร้างขึ้น โดยที่มีการลงทุนอย่างเต็มรูปแบบ ต้องขอบคุณการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่ทำให้ 9S เคยเป็นและยังคงเป็นหนึ่งนาฬิกาจักรกลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก กลไก 9S51 และ 9S55 ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1998 กลไก 9S67 ที่มีการสำรองพลังงานยาวนานถึง 72 ชั่วโมงถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2006 และแน่นอนว่าการเดินทางของกลไก9S ของ Grand Seiko ยังคงก้าวต่อไปเรื่อย ๆ

เรื่องที่ 6

1998

นาฬิกาจักรกล

ซีรีส์ 9S5

นาฬิกาจักรกลโฉมใหม่ของ Grand Seiko รุ่นแรกในรอบ20 ปี และยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของ Grand Seiko ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้สามารถยกระดับนิยามความหมายคุณค่าแบบดั้งเดิมของ Grand Seiko ขึ้นใหม่ได้

2002

นาฬิกาจักรกล

ซีรีส์ 9S56

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Grand Seiko ที่นาฬิการุ่นนี้มีเข็มนาฬิกาเข็มที่สี่ ซึ่งเป็นเข็ม GMT
สำหรับบอกเวลาที่ 2

2003

นาฬิกาควอตซ์

ทนทานต่อสนามแม่เหล็ก

นาฬิกาทนทานต่อสนามแม่เหล็กที่มีกำลังขนาด
40,000 แอมแปร์/เมตร ซึ่งถือเป็นระดับของการป้องกันที่ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ของนาฬิกาที่มีอยู่ในตลาดทั้งหมด

เรื่องที่

6
การเปิดตัวกลไก Spring Drive

ปฏิวัติสู่การทำงานที่ไร้เสียง

ในปี ค.ศ. 1977 วิศวกรนาฬิกาที่อยู่ในช่วงวัยเยาว์คนหนึ่งตัดสินใจที่จะทดสอบความเชื่อของตนองที่ว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นผู้ผลิตนาฬิกาอาจสามารถทำให้ฝันที่เกินเอื้อมของการสร้างนาฬิกา ‘ชั่วนิจนิรันดร์’ สามารถกลายเป็นจริงได้ เขามีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญที่คิดว่านาฬิกาแบบดั้งเดิมที่ใช้พลังงานจากลานสปริงจะสามารถมอบความเที่ยงตรงในระดับ 1 วินาทีต่อวันได้เหมือนกับที่นาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ในยุคนั้นทำได้ Yoshikazu Akahane วิศวกรฝีมือยอดเยี่ยมคนนี้เป็นคนที่ไม่ย่อท้อและมีความมุ่งมั่น เขาใช้เวลากว่า 20 ปี ซึ่งเขาต้องพบกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน และสร้างชิ้นงานต้นแบบกว่า 600 ชิ้น แต่ในที่สุดเขาและทีมงานก็ทำสำเร็จ เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นสิ่งจำเป็นในทุกแง่มุมของศิลปในการผลิตนาฬิกา พวกเขาได้สร้างมันขึ้นมาทีละชิ้น ปีแล้วปีเล่า และแล้ว Spring Drive ก็ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1999

ดาวเคราะห์ทั้งหลายมีอาการสั่นสะเทือนหรือส่งเสียง ‘ติ๊ก’ ขึ้นมาดังๆ ในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ข้ามสรวงสวรรค์หรือเปล่า? แน่นอนว่าไม่ใช่ เวลาคือความต่อเนื่องและเงียบสงัด และเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงคุณลักษณะพื้นฐานของเวลา Seiko Spring Drive ได้เติมเต็มพันธสัญญาในฐานะนาฬิการุ่นเดียวในโลกที่สามารถบอกเวลาได้ราวกับที่ธรรมชาติบอกเวลาให้กับเรา

กลไก Spring Drive 9R65 รุ่นแรกของ Grand Seiko

ในปี ค.ศ. 2004 นาฬิกา Spring Drive รุ่นแรกของ Grand Seiko ที่ใช้กลไก 9R65 ได้ถูกเปิดตัว การผสมผสานระหว่างลานสปริงแบบดั้งเดิมกับตัวปรับตั้งอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ Spring Drive เป็นนาฬิกาที่ดีที่สุดในสองโลก นั่นคือเป็นนาฬิกาที่ใช้พลังงานจากการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ แต่มีความเที่ยงตรงสูงกว่านาฬิกากลไกแบเดิมๆ ที่มีอยู่ในตลาด

เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสูงของ Grand Seiko นั้น Spring Drive จำเป็นต้องมีความเที่ยงตรงที่สูงขึ้น และมีการสำรองพลังงานที่นานขึ้น นั่นคือเป้าหมายในการพัฒนา พวกเขาตั้งไว้ที่ 72 ชั่วโมง ซึ่งนาฬิกาจะยังคงมีความเที่ยงตรงแม้ว่าในระหว่างวันหยุดสุดสัปดาห์จะถูกวางเอาไว้ ไม่ได้ถูกสวมใส่แต่อย่างใด ความท้าทายคือการพัฒนาระบบการขึ้นลานอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า Grand Seiko ถือเป็นนาฬิกาชั้นยอดที่ถูกสร้างสรรค์ให้สามารถใช้งานได้จริง

ความฝันเป็นจริงได้ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่เข้มข้นมาตลอด 28 ปี โดยจำเป็นต้องมีการพัฒนาทั้งการในส่วนกลไกของนาฬิกาจักรกล และระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตรงนี้เกิดขึ้นมาได้เพราะ Grand Seiko เคยเป็นและยังคงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่สามารถผลิต ประกอบชิ้นส่วน และปรับแต่งชิ้นส่วนของกลไกทั้งแบบจักรกลและควอตซ์ได้ ถือเป็นการบูรณาการการทำงานที่ลงตัวระหว่างเทคโนโลยีและงานศิลป์อย่างแท้จริง

เรื่องที่ 7

2004

SPRING DRIVE

ซีรีส์ 9R6

นาฬิการะบบ Spring Drive อันเป็นเอกลักษณ์ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Grand Seiko โดยมีอัตราความแม่นยำอยู่ที่ +/-1 วินาทีต่อวัน

เรื่องที่

7
นาฬิกาจักรกลที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง
3 วัน

กลไก 9S67—นาฬิกาจักรกลที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 72 ชั่วโมง

ระดับของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นจากที่เคยมีอยู่คือเป้าหมายที่ Grand Seiko วางเอาไว้อยู่เสมอ ดังนั้น เป้าหมายต่อไปคือ การพัฒนานาฬิกาที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 72 ชั่วโมง ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ยังคงเดินต่อเนื่องจนถึงเช้าวันจันทร์ แม้จะถอดออกจากข้อมือและวางเอาไว้ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ก็ตาม

กลไก 9S67 เปิดตัวเป็นที่รู้จักในปี ค.ศ. 2006 การทำงานของกลไก 9S67 ถือเป็นการท้าทายขีดจำกัดของกลไกกระปุกลานเดี่ยวแบบดั้งเดิมด้วยการพัฒนานาฬิการะบบกลไกอัตโนมัติที่สามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 3 วัน ในขณะที่มีความถี่ในการทำงานที่ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมงเท่ากับกลไก 9S55 แต่ 9S67 ใช้กระปุกลานที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับกระปุกลานที่ใช้ในกลไกกลุ่ม 9S5 ที่มีอยู่ และผสมผสานเข้ากับลานสปริงที่มีความกว้างและยาวกว่าถึง 10 เซนติเมตร จึงสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 72 ชั่วโมง

เรื่องที่ 8

2006

นาฬิกาจักรกล

ซีรีส์ 9S67

นาฬิกาจักรกลที่มีการสำรองพลังงานนานถึง 72 ชั่วโมง

เรื่องที่

8
นาฬิกากลไก Spring Drive รุ่นใหม่ พร้อมฟังก์ชันการทำงานที่เพิ่มขึ้น

Spring Drive GMT

สำหรับนักเดินทางทั่วโลกฟังก์ชัน GMT และความเที่ยงตรงของระบบ Spring Drive คือการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ และสามารถรักษาความเที่ยงตรงเอาไว้ได้แม้มีการเดินทางข้ามเขตเวลาก็ตาม กลไก Spring Drive GMT ได้ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 2005
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไก 9R66

ระบบจับเวลาที่หรูหราและมีความเที่ยงตรงที่สุดในโลก

ต้องขอบคุณการเคลื่อนไหวของเข็มวินาทีของระบบจับเวลาที่ทำให้ Spring Drive Chronograph สามารถจับเวลาตั้งแต่เริ่มต้นถึงตำแหน่งปัจจุบันได้อย่างแม่นยำแม้เพียงเสี้ยววินาที ด้วยเฟืองควบคุมการจับเวลา หรือ Column Wheel และระบบคลัตช์แบบแนวตั้งเพื่อให้สามารถใช้งานดุมได้อย่างแม่นยำ Spring Drive Chronograph จึงสามารถจับเวลาได้สูงสุด 12
ชั่วโมง และมีความเที่ยงตรงอยู่ที่ 1 วินาทีต่อวัน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไก 9R86

เรื่องที่ 9

2007

SPRING DRIVE

ซีรีส์ 9R8

Spring Drive Chronograph พร้อมคลัตช์แบบแนวตั้ง เฟืองควบคุมการจับเวลา และเข็ม GMT สำหรับบอกเวลาที่ 2 

เรื่องราว

9
การพัฒนากลไก 9S ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

วิวัฒนาการของ Hi-Beat

กลไกแบบ 10 Beat จะทำงานด้วยความถี่ 10 ครั้งต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าการทำงานของกลไกทั่วไป การที่กลไกมีอัตราการสั่นสะเทือนที่เร็วขึ้น จะทำให้นาฬิกามีความยืดหยุ่นต่อแรงกระแทกและมีความเที่ยงตรงขึ้น แต่ก็ใช้พลังงานจากลานสปริงมากกว่าปกติ และยังต้องการความยืดหยุ่นจากชิ้นส่วนอื่นๆ มากขึ้นด้วย นับเป็นเวลาครึ่งศตวรรษแล้วที่ลานสปริงของ Grand Seiko ถูกผลิตขึ้นภายในโรงงานของเรา จากการใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีอยู่ ทำให้โลหะผสมแบบใหม่ถูกผลิตขึ้นเพื่อลานสปริงของกลไก 9S ซึ่งจะมีความแข็งแรงและความทนทานเพื่อสามารถสำรองพลังงานได้นาน 55 ชั่วโมงและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไก 9S85

กลไก Hi-Beat 36000 พร้อมฟังก์ชัน GMT

เพียง 5 ปีหลังจากเปิดตัวกลไก 9S85 ทาง Grand Seiko ได้สร้างสรรค์กลไก 9S86 ขึ้นมาเป็นอีกทางเลือก โดยเพิ่มฟังก์ชัน GMT (การแสดงเวลาที่ 2) เข้าไป

การดึงเม็ดมะยมออกมาหนึ่งสเต็ปจะทำให้สามารถปรับเข็มชั่วโมงได้โดยไม่ต้องหยุดเข็มวินาที เพื่อประโยชน์ในการรักษาเวลาที่มีความแม่นยำสูงของกลไก Hi-Beat 36000 เอาไว้ นาฬิการุ่นนี้มีความเที่ยงตรงในการทำงานตามคอนเซ็ปต์นาฬิกา ‘ในอุดมคติ’ ของ Grand Seiko ขณะเดียวกันก็ยังรักษาความเที่ยงตรงทั้งการแสดงเวลาพื้นฐานและฟังก์ชัน GMT
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไก 9S86

กลไก 9S65 นิยามใหม่แห่งความเป็นเลิศด้านกลไก

กลไก 9S55 ถูกอัพเกรดจากกลไกที่มีการทำงานแบบ 8 Beat และมีการติดตั้งชิ้นส่วนที่ถูกผลิตด้วยกรรมวิธีที่แม่นยำโดยใช้เทคโนโลยี MEMS ขั้นสูง (แบบที่ใช้ใน Caliber 9S85) เพิ่มเข้าไป เพื่อสร้างสรรค์กลไก 9S65 ขึ้นมา ชิ้นส่วนและวัสดุใหม่ ๆ ถูกนำมาผสมผสานเพื่อสร้างกลไก9S65 ขึ้นมา และเพื่อมอบการสำรองพลังงานที่นานถึง 72 ชั่วโมง

กลไกที่เป็นผลลัพธ์มาจากการหลอมรวมเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับงานศิลป์ ได้ผ่านการทดลองและทดสอบมาอย่างยาวนานผ่านการติดตั้งอยู่ในนาฬิกาส่วนใหญ่ของ Grand Seiko จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

การเคลื่อนไหวที่เป็นผลลัพธ์มาจากการหลอมรวมเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ากับหัตถศิลป์คือการเคลื่อนไหวที่ผ่านการทดลองและทดสอบในนาฬิกาส่วนใหญ่ของ Grand Seiko จวบจนทุกวันนี้
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไก 9S65

เรื่องที่ 10

2009

นาฬิกาจักรกล

ซีรีส์ 9S8

นาฬิกา Hi-Beat โฉมใหม่ของ Grand Seiko รุ่นแรกในรอบ 41 ปี
การใช้โลหะผสมแบบใหม่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ กลไก 9S8 มีความเที่ยงตรงสูง และสามารถสำรองพลังงานได้ถึง 55 ชั่วโมง

2010

นาฬิกาจักรกล

ซีรีส์ 9S65

นาฬิกาอัตโนมัติรุ่นใหม่ที่สามารถสำรองพลังงานได้ถึง
72 ชั่วโมง ใช้วัสดุที่ทันสมัยที่สุดในการผลิตใยสปริงจักรกรอกและฟันเฟือง เพื่อช่วยปรับปรุงความเสถียรของความเที่ยงตรงในระหว่างการใช้งานจริง

2014

นาฬิกาจักรกล

ซีรีส์ 9S86

กลไก 9S86 ผสมผสานความเที่ยงตรงของ Hi-Beat เข้ากับฟังก์ชัน GMT นาฬิกาเรือนนี้ชนะรางวัล “Petit Aiguille” จากรายการ Grand Prix d’Horlogerie de Genève ประจำปี ค.ศ. 2014

เรื่องที่

10
ท้าทายต่อสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

นาฬิกาเซรามิกรุ่นแรกของ Grand Seiko

ในปี ค.ศ. 2016 Seiko สร้างสรรค์ตัวเรือนนาฬิกาที่ผลิตจากเซรามิกขึ้นเป็นครั้งแรก และได้เปิดตัวเป็นคอลเล็กชั่นใหม่ คอลเล็กชั่นนี้แสดงให้เห็นมิติใหม่ของ Grand Seiko และความโดดเด่นในด้านความเที่ยงตรง ความทนทาน ความสามารถในการอ่านเวลา และความงดงาม เช่นเดียวกับความสมบูรณ์แบบตามสไตล์นาฬิกาสปอร์ตของ Grand Seiko เช่นเดียวกับที่มีอยู่ในนาฬิการุ่นอื่น ๆ ทั้งหมด

The 8 day Caliber 9R01

The Spring Drive 8 day power reserve was unveiled in 2016 and is capable of continuous operation for a remarkable eight days.

This was the first Grand Seiko watch to be created by the world-renowned watchmakers in the Micro Artist Studio at Shiojiri in central Japan where many of the company’s most celebrated luxury watches have been created.

Normally, only one barrel is used in Spring Drive. However, Caliber 9R01 utilizes a series of three barrels which enables the power reserve to be extended to eight days, about 2.5 times longer than usual.

The watch case is made of platinum. Grand Seiko’s special Zaratsu polishing technique was specially adapted to this material so the distinctive distortion-free surfaces and sharp edges of Grand Seiko are achieved.

Caliber 9R01 opens a new chapter in the continuing innovation of Grand Seiko. While always true to its eternal values, Grand Seiko will explore new design directions and open new possibilities in watchmaking.
LEARN MORE ABOUT CALIBER 9R01

Story 11

2016

SPRING DRIVE

เซรามิกสีดำ Limited Edition

ใช้พลังงานจากกลไก Spring Drive นี่คือนาฬิการุ่นแรกของ Grand Seiko ที่ตัวเรือนเป็นเซรามิกล้วน

2016

SPRING DRIVE

Spring Drive 8-Day Power Reserve

นาฬิการุ่นแรกสุดของ Grand Seiko ที่ถูกสร้างขึ้นที่ Micro Artist Studio กลไก Spring Drive ที่ติดตั้งอยู่ภายใน สามารถสำรองพลังงานได้สูงสุด 8 วัน (ประมาณ 192 ชั่วโมง) ตัวเรือนของรุ่นนี้ผลิตจากแพลทินัม 950 และมีรูปทรงที่คมเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ของ Grand Seiko

STORY

11
Grand Seiko will scale new heights of watchmaking excellence and commercial success.

Grand Seiko has always been distinct in its design, character, presentation and, more recently, its calibers. In order to further reinforce its unique appeal and to reach out to a wider audience, Grand Seiko took one step further and presented Grand Seiko as an entirely separate brand. On all the creations from 2017, the Grand Seiko logo have been at the twelve o'clock position and this have been true for all Grand Seiko watches. From there, Grand Seiko has lived a truly independent life and sets out on a new journey. 

Story 12

2018

Mechanical

A landmark in Grand Seiko’s pursuit of precision, V.F.A., was honored in platinum.

 * “Very Fine Adjusted” may not be the most evocative name but V.F.A. is a revered set of initials for the Grand Seiko team. First used in 1969, it defined a Grand Seiko watch that was adjusted so skillfully that it achieved a precision rate far in excess of the Grand Seiko Standard. This 2018 creation proudly carried on the V.F.A. tradition thanks to the extraordinary precision rate of its 9S85 Hi-Beat 36000 caliber, +3 to -1 seconds per day, a level achieved by the highest level of adjustment and a testing program extended to 34 days. 

2018

Mechanical

Slimness and performance in perfect balance.
The new automatic Grand Seiko movement Caliber 9S25 for women. 

2019

Mechanical

Caliber 9S63, Grand Seiko’s first manual-winding movement with small seconds hand and power reserve indicator. A new slim profile. The Grand Seiko Elegance Collection set a new course.

2019

Mechanical

Grand Seiko spread its wings with a new automatic series for women.

The new Grand Seiko automatic caliber 9S27 struck that difficult and delicate balance between high performance and slimness that only a true “manufacture” can achieve. Its performance is outstanding, with a precision rate of +8 to−3 seconds per day and a power reserve of 50 hours as same as the Caliber 9S25. These high levels of performance are delivered by an 8 beat movement that is just 19.4mm in diameter and 4.49mm in height, which allows the case to fit every wrist and each timepiece to have an elegantly slim profile.

2019

Spring Drive

A new Spring Drive masterpiece from the Micro Artist Studio

The Micro Artist Studio presented Caliber 9R02, a new movement that has two mainsprings set in parallel within a single barrel and uses the unique Torque Return System to deliver a power reserve of 84 hours.

STORY

12
60 years aer the birth of Grand Seiko, a new cycle begins.

The number 60 has great resonance in the watch industry as it is one of the fundamental numbers in horology but, in Japan, it has another and even more important significance. When a person reaches 60, he or she has gone full circle through the traditional zodiac cycle and has arrived back at the beginning. So a 60th anniversary is much more than a moment to reflect on past achievements. It is a moment of new energy and re-birth. In 2020, Grand Seiko embarks on the its second sixty year cycle. A new era begins.

This new era opened with the release of two important and highly innovative new movements. Created in the Grand Seiko Studio Shizukuishi, Caliber 9SA5 is a new 10-beat movement that delivers both high precision
and a long power reserve. Three key innovations are at its heart, a Grand Seiko Free-sprung Balance, an overcoil and a Dual Impulse Escapement. Despite its enhanced functionality, Caliber 9SA5 was a fact that would open up new design horizons in the years ahead. The second movement, Spring Drive Caliber 9RA5, is created in the Shinshu Watch Studio in Shiojiri. This new movement was also entirely new and took Spring Drive into a new age of opportunity with enhanced accuracy and an extended power reserve. It, too, is slimmer and is finished with exquisite refinement.

2020

Mechanical

Inspired by the legend of Shizukuishi. Engraved by hand.

Grand Seiko’s first and limited timepiece with a engraved dial. Master engraver Kiyoshi Terui and his small team engraved all the elements on the dial by hand. Their work covered not only the hands and indexes but also the Grand Seiko name and the star mark at the 6 o’clock position.

2020

Spring Drive

A jewelry masterpiece inspired by the winter mornings in the Shinshu region of central Japan

2020

Spring Drive

Slimmer, more precise and more powerful. A new Spring Drive movement marked a new beginning for Grand Seiko.

Grand Seiko introduced a new generation Spring Drive caliber that is slimmer, even more precise and has a greater power reserve. Caliber 9RA5 took Spring Drive technology to a new level of excellence and opened a new era in the history of Grand Seiko. 

2020

Mechanical

A high beat movement opens a new chapter in the history of Grand Seiko

In 1998, the creation of the 9S mechanical caliber opened a new chapter in the Grand Seiko story. In 2020, the pages turned again with the launch of a new high beat mechanical caliber, 9SA5, which, in its design and functionality represented an advance just as important as the first 9S.
Caliber 9SA5 was more than just a new movement. It was an entirely new movement and the foundation upon which a whole new generation of Grand Seiko mechanical watches would be created. Deploying all the skills and experience we had gained over the past 60 years, Caliber 9SA5 is, beyond doubt, the finest mechanical movement that we have ever created. 

2021

Mechanical

The Grand Seiko Hi-Beat 36000 80 Hours won the Men’s Watch Prize at the 2021 Grand Prix d’Horlogerie de Genève.

  • บางรูปอาจแตกต่างไปจากสินค้าจริง ณ เวลาที่มีการออกแบบ